简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
บทคัดย่อ:ราคา Bitcoin ดีดตัวขึ้น เนื่องจากนักเก็งกำไรต่างเข้ามาระดมซื้อ หลังจากมีสัญญาณว่าแรงเทขายมีแนวโน้มที่จะถึงจุดต่ำสุดแล้ว เนื่องจากความกลัวว่าข่าวเรื่องการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบในจีนอาจจะเป็นเพียงข่าวลวง
ราคา Bitcoin ดีดตัวขึ้น เนื่องจากนักเก็งกำไรต่างเข้ามาระดมซื้อ หลังจากมีสัญญาณว่าแรงเทขายมีแนวโน้มที่จะถึงจุดต่ำสุดแล้ว เนื่องจากความกลัวว่าข่าวเรื่องการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบในจีนอาจจะเป็นเพียงข่าวลวง
ราคา Bitcoin ร่วงลง 7.6% สู่ระดับ 40,008.9 ดอลลาร์ เด้งขึ้นหลังจากร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดที่ 30,261 ดอลลาร์ โดยรวมแล้ว Bitcoin ลดลงประมาณ 30% ในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมา
“เราได้เห็นการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญจากระดับต่ำสุด ซึ่งบ่งชี้ว่าการขายจำนวนมากนั้นน่าจะสิ้นสุดลงแล้ว” ซีมัส โดนาฮิว รองประธานฝ่ายพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของ METACO กล่าวผ่านอีเมล์
ตลาดคริปโตที่แดงเดือดติดต่อกันมาหลายวัน ที่เริ่มดึงดูดความสนใจของนักเก็งกำไรส่วนใหญ่ เกิดจากการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบในประเทศจีน แต่เรื่องดังกล่าว “น่าจะเป็นข่าวลวง ดังเช่นตอนที่ธนาคารแห่งประชาชนจีน (PBOC) ตอกย้ำนโยบายปี 2017 แทนที่จะกำหนดมาตรการห้ามปรามใด ๆ ” โดนาฮิวกล่าวเสริม
“การเคลื่อนไหวของราคาในวันนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของการเก็งกำไรที่มากเกินไปและการขาดทุนที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดการล้างบัญชีหลายชุด ในช่วงที่บิทคอยน์ลดลงจากจุดต่ำสุดมากถึง 50%”
ปักกิ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของ Bitcoin มานานแล้ว ในการเริ่มต้นสู่ตลาดกระทิงก่อนหน้าในปี 2017 เมื่อการเปิดตัวเหรียญครั้งแรกเป็นวิธีการระดมทุนที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ธนาคารแห่งประชาชนจีนได้ก้าวเข้ามาเพื่อควบคุมธุรกรรมและสั่งให้ตลาดคริปโตบางแห่งหยุดรับผู้ลงทะเบียนรายใหม่
คนอื่น ๆ ก็เห็นด้วยเช่นนั้น โดยอ้างถึงหลายปัจจัยที่บ่งชี้ว่าการเทขายสกุลเงินคริปโตนั้น น่าจะได้รับแรงหนุนจากปัจจัยหลายอย่างที่เกิดจากสหรัฐฯ ไม่ใช่จากจีน
“ดูเหมือนว่า การปรับตัวลงในปัจจุบันไม่ได้เกิดจากจีน แต่เป็นผลมาจากการรวมกันของปัจจัยจากสหรัฐอเมริกา เช่น การแสดงความเห็นของอีลอน มัสก์ และนโยบายจาก OCC, IRS และ FDIC รวมกัน นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันตลาดเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้วจากหน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ แต่ดูเหมือนว่าข้อความทวีตของอีลอน จะเป็นฟางเส้นสุดท้าย” เอลี ทารานโต ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ EQIBank กล่าว
อย่างไรก็ดี การร่วงลงของตลาดคริปโต ได้กระตุ้นความกลัวว่า นักลงทุนสถาบันซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเร่งที่อยู่เบื้องหลังภาวะกระทิงในตลาดก่อนหน้านี้ เริ่มที่จะถอนตัวแล้ว
JPMorgan ก็กระหน่ำซ้ำเติมตลาด หลังจากที่ออกมาชี้ว่า นักลงทุนสถาบันเริ่มลดความต้องการบิทคอยน์ในฐานะทองคำดิจิทัลแล้ว และกำลังหันกลับไปหาทองคำแบบดั้งเดิมที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า
“ภาพรวมของบิทคอยน์ยังคงถดถอยลงอย่างต่อเนื่องและชี้ให้เห็นถึงการชะลอตัวของนักลงทุนสถาบัน” JPMorgan ระบุในบันทึกถึงลูกค้า จากรายงานของ CNBC “ช่วงเดือนที่ผ่านมา ตลาดฟิวเจอร์สของบิทคอยน์ประสบปัญหาการร่วงลงของราคาอย่างหนักหน่วงที่สุด นับตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว”
แต่ธุรกรรมของนักลงทุนสถาบันไม่ได้ลดลงและดูเหมือนว่าจะก้าวไปข้างหน้า เนื่องจากยังคงมีการยอมรับการปรับใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนอยู่
“ต่างจากสถานการณ์ของเงินคริปโตในช่วงฤดูหนาวปี 2018 ตอนนี้เราจะสังเกตได้ว่า ธนาคารรายใหญ่ทุกแห่งกำลังมองหาวิธีการพัฒนาสกุลเงินคริปโตที่จะออกสู่ตลาดในปี 2021/2022 เราได้เห็นสถาบันที่ใหญ่ที่สุดบางแห่งพากันนำเสนอต่อกลุ่มลูกค้า” โดนาฮิวกล่าว “เปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็ง สิ่งเหล่านี้เป็นเงื่อนงำของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ในแง่ของการยอมรับจากสถาบันการเงิน”
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
บทความนี้นำเสนอเรื่องราวของ แบร์รี ซิลเบิร์ต (Barry Silbert) หนึ่งในผู้บุกเบิกและทรงอิทธิพลที่สุดในอุตสาหกรรมคริปโตเคอร์เรนซี ผู้มองเห็นศักยภาพของบิตคอยน์ตั้งแต่ปี 2012 และต่อมาได้ก่อตั้ง Digital Currency Group (DCG) ในปี 2015 เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินโลกด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน DCG กลายเป็นผู้เล่นหลักที่มีบทบาททั้งด้านการลงทุนและโครงสร้างพื้นฐานของคริปโต โดยมีพอร์ตลงทุนในบริษัทชั้นนำกว่า 200 แห่ง และเป็นเจ้าของ Grayscale Investments, CoinDesk และ Genesis ซึ่งล้วนมีอิทธิพลต่อการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลในภาคการเงินแบบดั้งเดิม บทความชี้ให้เห็นถึงกลยุทธ์ วิสัยทัศน์ และความสำเร็จของ Silbert ในการนำคริปโตเข้าสู่ระบบการเงินโลก โดยเริ่มจากเงินทุนเพียง 25 ล้านดอลลาร์ และเติบโตเป็นผู้บริหารสินทรัพย์มูลค่ากว่า 50,000 ล้านดอลลาร์ภายในไม่ถึงทศวรรษ
Meme Coins คือเหรียญดิจิทัลที่เริ่มจากเรื่องตลกในอินเทอร์เน็ต แต่กลับสร้างความเปลี่ยนแปลงเขย่าวงการการเงินโลกได้จริง ด้วยพลังของกระแส โซเชียลมีเดีย และความหวังของนักเก็งกำไรรายย่อย แม้บางคนจะกลายเป็นเศรษฐี แต่ก็มีอีกมากที่ขาดทุนยับแบบไม่ทันตั้งตัว เหรียญมีมจึงเป็นทั้งโอกาสและกับดัก ที่นักลงทุนต้องรู้ทันก่อนจะโดดเข้าไปในเกมสุดผันผวนนี้ อยากให้แปลงเนื้อหานี้เป็นโพสต์แบบให้ความรู้แบบกระชับ หรือแนววิดีโอสคริปต์สำหรับคอนเทนต์ TikTok/YouTube Shorts ดี?
ไนซ์ CNX เปิดใจ สูญเงิน 5 ล้านจากคริปโต เพราะ "โลภ" และ "ไม่ยอมตัดขาดทุน" เขาเคยหลงระเริงกับความสำเร็จรวดเร็ว จนพังหมดตัวในพริบตา วันนี้ไนซ์เตือนคนรุ่นใหม่ "อย่ารีบรวย" และ "อย่าโกงตัวเองด้วยความโลภ" การลงทุนต้องมีสติ ศึกษาลึก และรับผิดชอบการตัดสินใจด้วยตัวเอง
ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยกเลิกข้อกำหนดให้ธนาคารต้องแจ้งล่วงหน้าเมื่อต้องการทำธุรกิจเกี่ยวกับคริปโต สะท้อนท่าทีที่ “เปิดกว้าง” มากขึ้นต่อสินทรัพย์ดิจิทัล แม้ยังมีกฎเข้มจากปี 2023 ที่ใช้ควบคุมอยู่เบื้องหลัง นักวิเคราะห์มองว่านี่อาจเป็นสัญญาณของการปรับตัวเพื่อรองรับโลกการเงินยุคใหม่ แต่ก็ยังไม่ใช่ “ไฟเขียวเต็มรูปแบบ” แก่วงการคริปโต.